วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สถาปนิก idol รุ่นพี่ลาดกระบัง

พี่ปิง หรือว่าพี่ประกาย สุวรรณฤทธิ์ รหัส 41025125

สถาปนิกการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

ณ ร้าน Library 70 พระราม 9 ซอย 41 สวนหลวง (ซอยข้าง The Nine)




1 เริ่มจากขอถามประวัติส่วนตัวเล็กน้อยของพี่ปิงหน่อยว่า...เรียนจบปีไหน ไปต่อโท ที่ไหน ทำงานอะไรที่ไหน...ลักษณะงานการปฏิบัติวิชาชีพ ทำอะไร?
                พี่จบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ลาดกระบัง เมื่อปี พ.ศ.2546 รุ่น 26 พี่ทำงานเป็นสถาปนิกอยู่ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พี่จะดูแลเรื่องงานแบบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทั้งหมดทั่วประเทศ แบบทั้งหมดก็จะมารวมที่ส่วนกลางพี่ก็จะดูเรื่องงานออกแบบสำนักงานทั้งหมดของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทุกอย่างที่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวกับสำนักงาน เพราะ การไฟฟ้า จะแบ่งเป็นสำนักงาน และ Sub Station ซึ่ง Sub Station จะแบ่งไปอีกกอง พี่อยู่กองถาปัตย์ แผนกออกแบบ ไม่ว่าจะสร้างที่ไหน การอนุมัติทุกอย่างจะมาจบที่ส่วนกลาง คือที่กองพี่ การไฟฟ้าจะมีแบบหลัก และก็จะมีแผนกวาง Layout แล้วแผนกพี่ก็เอาสิ่งที่ออกแบบวางลงไป แล้วจึงจ้างบริษัทก่อสร้างตามแบบนั้น
2. งาน หรือ ผลงานของพี่ที่ไปสัมภาษณ์นั้น ที่พี่เขาคิดว่า เป็นตัวอย่างที่ดีในการปฏิบัติวิชาชีพ คืออะไร...อุปสรรคในการปฏิบัติวิชาชีพคืออะไร?
                งานของพี่ส่วนมากจะเป็นแบบมาตรฐานสำนักงานที่ใช้สร้างทั่วประเทศ แบบมาตรฐานที่พี่ออกแบบก็จะมีอยู่ทั้งหมด 6 ตัว ทั้ง 6 ตัวนี้ เราไม่ได้สร้างให้คนกลุ่มหนึ่งใช้ แต่เป็นอาคารสาธารณะที่ออกแบบมาเพื่อให้ทุกคนใช้ และสามารถตั้งอยู่ได้ทุกที่
เราเป็นองค์กรของพลังงาน ใช้แล้วยั่งยืนที่สุด Design จะเน้นเรื่องการระบายอากาศ ทิศทางการวางผัง อยู่แล้วสบาย วัสดุจะเน้นไม่ให้เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม คิดเรื่องแดด ลม การใช้พลังงานหมุนเวียน นำกลับมาใช้ใหม่
บางครั้งพวกพี่เป็นคนเขียนTOR ทั้งหมด บอกความต้องการ แล้วจ้างบริษัทที่รับออกแบบ เรามีหน้าที่เป็นคนตรวจแบบ คน Comment แบบ ว่าเราอยากได้อะไร
อุปสรรค ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนนะ พี่ต้องทำงานผ่านหัวหน้าพี่ ผ่านหัวหน้าแผนก หัวหน้ากอง หัวหน้าฝ่าย ผ่านรองผู้ว่าการฯ ผู้ว่าการฯ สุดท้ายไปผ่านบอร์ด การทำงานของกรมราชการก็จะทำงานล่าช้า เพราะ ความคิดของผู้ใหญ่เขาจะไม่มีเรื่องดีไซน์ เขาจะไม่เข้าใจว่าตรงนั้นตรงนี้ทำอย่างไร แบบก็จะเกิดการแก้ไข เปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ แล้วก็เรื่องงบประมาณที่จำกัด



ตัวอย่างแบบอาคารสำนักงานมาตรฐานที่พี่ออกแบบ

3. ข้อคิดที่สำคัญในการ ทำงานคืออะไร? การปฏิบัติตนต่อการทำงานทำอย่างไร?.........

                คือ อาคารที่พี่ขึ้นมันเป็นอาคารสาธารณะ ก็จะส่งผลถึงชุมชนต่อคน การที่เราทำสถาปัตยกรรมตัวหนึ่งขึ้นมาเนี่ย ไม่ว่าจะต้องสนองความต้องการของใคร พี่ต้องสนองความต้องการของชุมชนในละแวกนั้น บางทีเราต้องขึ้นอาคารในชุมชนอนุรักษ์ เราก็ต้องมาแก้แบบ ทำอย่างไรให้สอดคล้องกับชุมชนนั้น ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ทำให้คนรุ่นหลังเห็นว่าคนที่ทำ คนที่ออกแบบเป็นสถาปนิกที่มีความคิด เราคิดถึงความยั่งยืนของสถาปัตยกรรม แนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ทางการไฟฟ้าจะสอนเรื่องนี้ตลอด
               
4. คิดเห็นอย่างไรกับ จรรยาบรรณวิชาชีพ คิดเห็นอย่างไรกับการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม

                พี่คิดว่าเราเป็นคนทำสิ่งก่อสร้างขึ้นมา มีผลต่อสังคม มีผลต่อทุกคน จรรยาบรรณก็จะคุมให้เราไม่ทำสิ่งที่เดือดร้อนต่อสังคม ถ้าพวกเราไม่มีจรรยาบรรณต่อการก่อสร้าง ไม่มีจรรยาบรรณต่อการออกแบบ จะทำอะไรก็ทำ มันก็มีผลกระทบเดือดร้อนต่อทุกคน เช่นอย่างสมัยก่อน ตึกกระจกอ่ะพูดง่ายๆ แสงที่กระทบกระจกไปโดนชาวบ้าน ชาวบ้านเขาก็เดือดร้อน
                เรื่องของการออกแบเพื่อสิ่งแวดล้อม ก็อย่างที่บอกว่าการไฟฟ้าเป็นองค์กรที่เป็นตัวแทนของพลังงานและสิ่งแวดล้อม เวลาพี่ออกแบบอาคารอะไร พี่จึงต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชนเป็นอันดับแรก

5. พี่ๆ คิดว่า สถาปนิกรุ่นใหม่ๆ ที่ลาดกระบังผลิตออกมา มีคุณภาพอย่างไร ต้องการให้ภาควิชาปรับปรุงลักษณะบัณฑิตออกมาให้เป็นอย่างไร?

                ไม่มีรุ่นน้องเข้ามานะ ไม่เคยสัมผัส แต่ตอนที่พี่เข้าทำงานมีรุ่นพี่ที่มีระยะห่างเรื่องอายุพอสมควร คือเขาเรียนจบพี่เพิ่งเกิดน่ะครับ แต่พอเราทำงานด้วยกัน มันคือ ลาดกระบังอ่ะ มันเป็นความแข็งของลาดกระบัง เรื่อง Construction เรื่องหน้างาน เรื่องของความเป็นจริง เราถูกเน้นในเรื่องความอดทน อดทนต่อคน อดทนต่องาน แม้กระทั่งตอนเรียน ทำมอาจารย์ว่าเรา ดุเรา โยนงานเรา หรือพูดให้เรากดดัน นั่นคือการฝึกให้เราเจอกับหน้างานจริง เจอคนจริงๆ ความกดดันที่อาจารย์ทำมันนิดเดียวเทียบกับสิ่งที่เราเจอ แต่เรื่องรุ่นน้องนี่พี่ไม่ค่อยแน่ใจนะ

6. ขอร้องให้พี่ๆ ช่วยเล่าบรรยากาศ สมัยที่เรียน ณ ลาดกระบัง ว่า เรียนกันอย่างไร ใช้ชีวิตและกิจกรรม ในคณะฯอย่างไร? หากมีรูปประกอบได้ยิ่งดี.. ประมาณ นี้.........

                พี่อยู่ในแก๊งที่เรียกได้ว่าเป็นระดับท๊อปๆของรุ่นเลยทีเดียว แต่ไม่ถึงกับไปไกลลับนะ มีเข้ามาเรียนสองสัปดาห์แรกพวกพี่ก็ไม่ได้คิดอะไร หลังเชียร์ตอนที่เขาเก็บของกันอยู่พวกพี่ก็ตั้งวงกินเหล้ากันเลย กินไปซักพักเห็น อาจารย์ไก่ อาจารย์น้ำ อาจารย์วัฒน์ เดินมาพวกพี่ก็ชวนพวกแกกินเหล้าเลย พวกแกก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็เดินเข้าห้องไป พวกพี่ก็กินกันต่อจนเมานอนอยู่ในสตูถึงเช้า แล้วตอนเช้าพี่ว๊ากก็เดินเข้ามาบอกว่า ใครกินเหล้าเมื่อวานไปหาอาจารย์ด้วย หลังจากนั้นก็ยืนเศร้าอยู่นาน แล้วเขาก็ให้ทัณฑ์บน จนได้ฉายาว่าน้องทัณฑ์กันทั่วหน้า
                พอปี 2 พวกพี่ก็มีเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ตอนนั้นอาจารย์วิวัฒน์สอน ตอนนั้นแกก็ให้งานเยอะ แล้วก็ด่าว่างานห่วยๆ พวกพี่ก็คิดว่า ถ้างานห่วยนักก็ไม่เรียนมันเลยละกัน พี่เลยเรี่ยรายชื่อคนในห้องได้เกินครึ่งห้อง แล้วก็ลงชื่อดรอปวิชาเรียนนี้ เหลือแต่พวกที่เด็กเรียนหน่อย หรือไม่ก็เป็นคนที่ไม่รู้เรื่อง เพราะตอนนั้นระบบการสื่อสารมันก็ยังไม่ค่อยทันสมัยเท่าไหร่ จึงมีคนขาดการติดต่อไปบ้าง หลังจากนั้นอาจารย์วัฒน์ก็เลยโดนเรียกไปคุย เพราะการที่เด็กดรอปครึ่งชั้นเป็นเรื่องที่ไม่ปรกติ หลังจากนั้นพวกพี่ก็ไปเรียนใหม่ตอน Summer เหมือนเปิดเรียนคลาสปกติเลย มากันครบทุกคน เพราะ คนที่ไม่ดรอปก็ตกอยู่ดี พี่รู้ภูมิมากเหมือนได้ต่อสู้กับเบื้องบนได้สำเร็จ
                ปี 3 พี่รู้สึกว่าจะไม่ค่อยมีอะไรนะ ปี 4 นี่พวกพี่เป็นคนจัด Meeting พี่ต้องคุมคน 700 คนขึ้นโบกี้รถไฟทั้ง 5 โบกี้ไปให้ถึงเชียงใหม่ให้ได้ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากสมัยนี้ไปแค่ใกล้ๆคนก็เลยไปน้อย แต่ตอนพี่ไปขึ้นดอย ใครๆก็เลยอยากไป คนมันก็เลยเยอะกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากตอนแรก 500 คน ห้องน้ำก็ไม่พอ ต้องแจกทิชชู่คนละม้วนตอนเช้าไปจัดการตามป่าเอง แต่ก็เป็นทริปในความทรงจำ เพราะ การที่พาคน 700 คน ไปและกลับ อย่างปลอดภัย และครบถ้วนนั้น เป็นเรื่องยากมาก
                ปี ห้าปีสุดท้าย ก็เป็นช่วง Meeting เช่นกัน ตอนนั้นพวกน้องก็คิด Theme ขึ้นมาให้ คือ Theme ทหาร แต่เนื่องจากตอนนั้นพวกพี่ทำ Thesis กัน คือพอถึงเวลาขึ้นรถก็วางดินสอวิ่งขึ้นรถเลย จึงไม่มีเวลาคิดเรื่อง Theme เลย ช่วงแรกน้องก็เลยรู้สึกผิดหวังกับคันพี่เล็กน้อย เพราะ ไม่มีอะไรให้น้องเล่นเลย แต่พอรถจอดแวะปั๊ม พี่ก็เดินไปซื้อแป้งกันมาคนละกระป๋อง พอขึ้นรถพวกพี่ทุกคนก็จะทาหน้าขาวกันหมดและน้องก็ค่อยๆเปลี่ยนหน้าเป็นสีขาวทีละคน พวกี่เรียกตัวเองว่าแก๊งหน้าขาว ซึ่งแก๊งนี้แพร่ไปเร็วมาก เหมือนไวรัส น้องบางคนต้องเดินมาขอเป็นพวกด้วย แต่ถ้าใครไปล้างหน้ามาแล้วล้างไม่หมด จนพวกพี่จับได้ก็จะโดนหนักกว่าเก่า และเมื่อใครเปลี่ยนเป็นแก๊งหน้าขาวก็จะเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เพราะจะไม่มีใครจำเราได้ จะทำอะไรก็ได้ พี่ว่ามันเป็นคอนเซ็ปที่แข็งแรงนะ ง่ายแต่ เผยแพร่เร็ว แล้ว แก๊งหน้าขาวก็เป็น Theme ใน Meeting ไปเลย จนเดี๋ยวนี้พี่ก็ยังเล่นกันอยู่เลยนะ เพิ่งเลิกเล่นไปได้ไม่นาน ครั้งล่าสุดก็งานแต่งงานของพี่ชายนี่แหละ ลืมบอกไปพี่แต่งงานคนแรกของรุ่นนะ พี่ว่าเพื่อนแท้ของพี่คือเพื่อนตอนมหาลัย เพราะ เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน กินนอนด้วยกันตลอดเวลา รักกันในแบบของลาดกระบัง และเป็นเพื่อนรักกันตลอดจนถึงตอนนี้

                สุดท้านนี้ขอขอบคุณ อาจารย์ไก่ที่ให้งานนี้มาให้ผมได้เจอกับพวกพี่ๆ ได้รู้จัก ได้แนวคิดในการปฏิบัติตัวในอนาคต ประสบการณ์ที่พวกพี่ๆเล่านั้นทั้งสนุก และมีข้อคิดทุกเรื่องเลยขอบคุณมากๆครับ และขอขอบคุณอาจารย์พี่ออมที่แนะนำพี่ปิง พี่ม่อน พี่ชาย ให้พวกผมได้รู้จักด้วยครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น