วิชาชีพสถาปนิกในทรรศนะคติของข้าพเจ้า
ชีวิตของผมนั้น
เริ่มคิดว่าจะไปทางไหนตั้ง ม.3 ว่าจะเลือกเรียน ม.ปลายในสายไหนดี ซึ่งในโรงเรียนของผมมีการแบ่งห้องตามสายที่เรียน
แบ่งเป็น ห้องวิทย์-คณิต (หมอ) ,วิทย์-คณิต (วิศวะ) ,ศิลป์-ภาษา และศิลป์-คำนวณ
ด้วยการที่จะเลือกสายไหนนั้นจะต้องคิดคำนึงถึงอนาคตว่าจะเรียนต่อไปทางด้านแนวไหน
หรือคณะไหนด้วย จึงเป็นเหตุให้ต้องคิดมากในช่วงต้น เพราะผมก็อยากเรียน ศิลป์-ภาษา ด้วย
เนื่องจากการเรียน ศิลป์-ภาษา นี่ไม่ได้แปลว่าโง่นะ หรือไม่ได้แปลว่า
ขี้เกียจ เรียนไม่เก่งเลยต้องมาอยู่สายนี้ แต่สายนี้เขาก็จะผลิตนักเรียนให้มีคุณภาพด้านการใช้ภาษาให้เด่นขึ้นมา
แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความรู้พื้นฐานตัวใดตัวหนึ่งไป ผมจึงลังเลว่าจะเข้าสายไหนดี
แต่ไม่ใช่หมอแน่ๆ เพราะ ผมกลัวผี แต่สุดท้ายก็ด้วยความลังเลของผมนั่นแหละ
เลยใช้เป็นตัวตัดสินใจไปเรียนสายวิทย์-คณิต (วิศวะ) เพราะว่า เลือกคณะได้มากกว่า
เหมือนจะเข้าคณะไหนก้อได้ เพราะ เรียนกลางๆ ไม่ได้เรียนหนักไปสายใดสายหนึ่ง
แล้วไว้ไปตัดสินใจอีกทีตอนใกล้จบละกัน...
ผมเรียนในสายนี้จนผมก้าวเข้าสู่
ม.5 ก็เริ่มสังเกตว่า เพื่อนทุกคนเริ่มติวและเริ่มเลือกคณะที่ตัวเองสนใจแล้ว
ผมยังไม่มีความสนใจในคณะไหนเลยจะทำอย่างไรดี ผมจึงเริ่มมองตัวเองว่าเป็นคนอย่างไร
ซึ่งก็เห็นว่าตนเอง วาดรูปพอได้ ขี้เกียจอ่านหนังสือสอบ ไม่ชอบความจำเจ
ชอบความแปลกใหม่ เลยตัดสินใจว่าจะเข้าคณะอะไรก็ได้ที่ไม่ต่องอ่านหนังสือสอบเหมือนตอนอยู่มัธยมอีกแล้ว
เพราะ มันน่าเบื่อมาก พอใกล้สอบก้ออ่านหนังสือจะเป็นจะตาย แต่ตอนเรียนก็เล่นเกมส์
ชีวิตไม่ได้มีสีสันอะไรเลย คณะแรกที่เล็งว่าจะเข้านั้นก็คือ คณะนิเทศศิลป์
พอตัดสินใจได้ว่าจะเรียนคณะนี้จึงไปเรียน
Drawing ให้วาดตั้งแต่ขวดน้ำ กระดาษ ผ้า กล่องนม ถุงขนม มือ ยันหน้าคน
(หมายถึง จนกระทั่งวาดถึงหน้าคนนะครับ) ถึงแม้จะไม่ได้เรียนนิเทศในตอนนี้ แต่สิ่งที่ติวมากลับมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งในการเรียน
เพราะ ได้ทั้งฝึกมือ น้ำหนัก เบา-เข้ม ฝึกสายตาในการมองเงา
ฝึกสังเกตถึงผิววัสดุที่แตกต่างกัน ฝึกความอดทนที่ต้องวาดภาพหนึ่งนั้นใช้เวลาเกือบสี่ชั่วโมง
และต้องนั่งอยู่ที่เดิมด้วย และต่อมาก็ไปเรียนในส่วนของนิเทศน์ศิลป์
ในส่วนนี้เองที่ผมรู้เลยว่ามันไม่เหมาะกับ ผมแน่ๆ เพราะผมลงสีช้ามาก
ผสมสีก็ไม่ค่อยได้ดั่งใจ
จนโดนเจ้าของที่ติวเขาไล่ออกมา....ผมก็เลยไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกเลย...
เมื่อเข้าสู่ ม.6 เทอม 1
ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีอนาคตละ
เพื่อนเลยถามว่าไปดูมันติวไหม สถาปัตย์น่ะ สนุกดีนะ
แค่นั้นผมก็ได้ไปเรียนกับมันเลย เพราะ ด้วยคำว่าสนุกคำเดียวพอเรียนไป
ผมก็ได้รู้ว่าการเรียนสถาปัตย์มันอยู่ที่การฝึกฝน ฝึกมือ ความอดทนไม่ย่อท้อ
ไม่ว่าใครจะว่ายังไงว่า สื่งที่เราวาดมันไม่สวย ของทุกอย่างมันฝึกกันได้
ซักวันถ้าเรามีความอดทนพอ คนที่ว่าไม่สวยมันต้องหันกลับมาบอกว่า สวย แน่ๆ ผมเชื่อ
ตอนติว ผมว่ามันได้ฝึกทั้ง ความคิด เทคนิค อารมณ์และมุมมอง
ที่เราจะใส่ลงไปในภาพๆหนึ่งที่เราได้วาด ความใส่ใจที่จะทำผลงานให้ออกมาดีนั้น
ทุกคนย่อมรู้ดี แต่จะออกมาได้ 100% หรือไม่ขึ้นอยู่กับคนใจ
ถึงแม้อาชีพนี้จะรู้เลยว่าเงินเดือนไม่ได้สูงมาก
ถ้าโอกาสมันมาไม่ถึงเรา แต่มันมีเสน่ห์ในตัวของมันเองอยู่ เป็นอาชีพที่ดูมีระดับ
มีความฉลาดหลักแหลม แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี รอบรู้ในทุกๆเรื่อง
จึงเป็นที่มาของพระเอกในละครส่วนมากจะเป็นสถาปนิก
จึงทำให้ผมอยากเป็นพระเอกบ้าง...อยากเป็นสถาปนิกบ้าง ก็เท่านั้นเอง
ในการเข้ามาเรียนที่นี่ ทำให้ได้เข้าใจอะไรหลายๆอย่างที่ไม่ได้จากในห้องเรียน
หรือหนังสือ มันทำให้รู้ว่าอาชีพที่เรากำลังจะก้าวไปนั้นไม่ได้ง่ายดาย เหมือนตอนเรียน
มันต้องใช้ความอดทน อดกลั้น ความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่มีวันหยุดคิด
เทคนิคแปลกใหม่ที่ไม่มีใครเคยนึกถึง ความสนุกสนานที่พบเจอได้ทุกที่ และความเครียด
ความท้อถอยที่อยู่ข้างตัวเราเสมอ แต่ที่สำคัญที่สุดคือเพื่อนที่เข้าใจเรา
และรู้ซึ้งถึงความท้อถอยที่เจอมาด้วยกันจนรู้ ยอมรับ และปรับตัว ลุกขึ้นสู้ในทุกครั้งที่ล้มลง
ปี 1 เป็นปีที่สำคัญที่สุด
เนื่องจากจะต้องปรับตัวเข้าสู่ระบบการเรียนการสอนที่ไม่เหมือนที่โรงเรียนโดยสิ้นเชิง
มีความเชื่อที่ว่าใครรอดปี 1 ไปได้โดยไม่ลำบาก ทำ Project ทัน
ครบทุกแผ่น ไม่เดือด หลังจากนั้นทุกปีจะเรียนสบายไม่มีเดือดอีก
เพราะปรับตัวเข้ากับระบบได้แล้ว
ปีนี้จะเป็นเวลาที่ทำให้รู้ว่าเพื่อนนั้นสำคัญไปไม่น้อยกว่างาน
ได้รู้จักเพื่อนดีดีหลายคน ช่วยเหลือกัน ผมยังจำเหตุการณ์ทุกครั้งที่เพื่อนมาช่วยงานผมได้ดี
ไม่มีวันลืม แม้ว่าปี 1 นั้นจะเป็นปีแห่งความชิว งานน้อยมาก
แต่ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงยังอยู่แต่หอไม่ได้ไปไหนมากมายเท่าไหร่
ปี 2 เป็นปีที่ระบบการเรียนการสอนเริ่มคงที่มี project
ครบ 4 ตัว จึงเป็นปีที่งานหนักมากกว่าปีแรกหลายเท่าตัว
ทำให้คิดว่าเป็นปีที่หนักที่สุดปีหนึ่ง หรืออาจเพราะยังปรับตัวไม่ทันก็เป็นได้
ปี 3 ทุกคนบอกว่าเป็นปีที่สบาย แต่ผมก็เห็นว่ามันก็แค่ปรับตัวได้จากปี
2 ก็เท่านั้น แต่ทริปก็มีเยอะ อาจจะเกี่ยวก็ได้
ปี 4 ที่จริงมันก็ควรจะต้องงานหนักเหมือนปี 3 แต่ มันดันมีงานคอนสุดติ่งกระดิ่งแมว
เขียนเป็นบ้าเป็นหลังในเทอมแรก แต่งานคอนที่ผ่านมาทำให้เราฝึกในหลายๆเรื่อง
ทั้งความอดทนที่สำคัญที่สุด ความช่างสังเกตว่ามีอะไรผิดปกติตรงไหนในแบบที่เราได้มา
ความรู้ที่ได้จากอาจารย์ที่ปรึกษา การบริหารเวลา การพูดคุยกันในกลุ่ม
มันมีทั้งความน่าเบื่อ ความท้อ ความเหนื่อย
และอุปสรรคต่างๆที่เราไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นในหลายๆเรื่อง
ทำให้เกรดที่ออกมาไม่ค่อยดีนัก มันสื่อได้ถึงว่าตัวเรานั้นยังไม่ได้เรื่องได้ราว
อนาคตที่เราทำแบบจริงๆ ที่เราทำกันมันใช้ไม่ได้
ผมคิดว่าอาจารย์อยากจะบอกเราในเรื่องนี้เป็นหลัก และยังมีดีไซน์โรงพยาบาลอีกซึ่งอนาคตยังไม่รู้เลยว่าจะรุ่งหรือล่ม
Thesis ที่ผมจะทำ
อยากทำ Aquarium ที่ไม่ใช่แค่ศูนย์การเรียนรู้ของเยาวชน
อยากให้เน้นในเชิงท่องเที่ยวเป็นหลัก ให้ได้ประสบการณ์แปลกใหม่ที่เคยได้พบเห็นมาก่อน
ได้ทั้งทุกประสาทสัมผัส เนื่องจากการที่คนเราจะเห็นสัตว์ทะเลต้องเป็นคนที่มีเวลาท่องเที่ยวเป็นเวลานานๆ
และใช้เงินในการเช่าอุปกรณ์ในการดำลงไปดู และถึงแม้จะดำลงไปได้
แต่แรงดันน้ำก็กันเราออกจากโลกของสัตว์ใต้ทะเลลึกที่อยู่ลึกลงไปมาก
จึงทำให้ผมอยากนำประสบการณ์ต่างๆของผู้ที่ได้พบเห็นมา share ให้กับทุกคนได้เห็นและได้เข้าใจถึงรูปร่าง
การใช้ชีวิต ของสัตว์ร่วมโลกของเราอีกประเภทหนึ่ง
แม้เราอาจจะไม่ได้อยู่ในสภาวะเดียวกันก็ตามที
เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าจะทำร้านกาแฟ net café
ร้านเกมส์
จะเปิด ตอนไหนก็เปิด จะเที่ยวตอนไหนก็ไป
แต่ตอนนี้ผมกลับคิดว่าอยากเอาดีทางด้านสถาปนิก หรือแนวทางที่ใกล้เคียง เพราะ
สถาปนิกสามารถทำอะไรก็ได้ ตั้งแต่ขายก๋วยเตี๋ยวยันออกแบบอาคารบ้านเมือง
และถ้ามีเงินก็จะกลับมาเปิดร้านกาแฟเล็กๆ และรับงานนอกนิดๆหน่อยๆไม่ถึงกับใหญ่โต
เลี้ยงดูพ่อแม่ อาม่า ลูกเมียได้ก็พอแล้ว
idol ของผม คือ Leonado
Davnici เนื่องจาก เขามีความกล้าที่จะแหกกฎต่างๆ
ที่จะนำมาซึ่งความรู้ที่เขาจะได้รับ เป็นที่มีอิทธิพลในหลายวงการอาชีพในขณะนี้
ทุกอย่างที่เขาคิดในปัจจุบันบางสิ่งเพิ่งจะสร้างได้และบางสิ่งก็ยังไม่มีเทคโนโลยีตัวไหนที่จะสร้างมันขึ้นมาได้เลย
ทำให้ได้รู้เลยว่าเขามีความคิดอันชาญฉลาด ความช่างสังเกต ช่างประดิษฐ์ และแหวกกรอบใดๆในยุคสมัยที่เขาอยู่
เป็นคนพิเศษมีจุดยืนเป็นของตัวเอง
ที่ฝึกงานของผม คือที่ C.A.S.E เป็นบริษัทที่ฝึกงานเกี่ยวกับชุมชน
และตัวผมคิดว่าการไปฝึกที่ชุมชนนั้นเป็นงานที่สนุก
ได้ทำจริงได้เข้าใจปัญหาจริงของชาวบ้าน
ที่ไม่ใช่ปัญหาที่คนกลุ่มหนึ่งคุยกันในห้องแล้วสรุปเอาเองว่านั่นคือปัญหาของชาวบ้าน
และผมไม่อยากไปนั่งโต๊ะฝึกอะไรที่เราได้ทำไปแล้วในตอนเรียนอีก
มันมีความรู้อีกเยอะที่นอกโต๊ะที่เรานั่ง
ครอบครัวของผม ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยสนิทกับพ่อเท่าไหร่
แต่ท่านก็สั่งเสียผมเรียน ผมจึงเคารพท่านมาก ท่านสอนผมให้รู้จักเอาตัวรอดในชีวิต
สอนผมว่ายน้ำ (โดยการหลอกล่อว่าว่ายจับพ่อได้จะให้แบงค์ 20 ปรากฏ จับได้ทีไรสะบัดตัวผมปลิวทุกที
กับเงิน 20 เตะผมเฉย...) และเป็นแรงผลักดันให้ผมมายืนสู่จุดนี้ได้อย่างภาคภูมิใจ
ถึงแม้ในอนาคตผมจะทำประโยชน์ให้กับสังคมได้มากน้อยเพียงใด
แต่แค่ไม่ทำความเดือดร้อนให้คนอื่น มันก็ดีมากแล้ว เพราะ
ผมยังไม่รู้เลยว่าอนาคตความรู้ความสามารถของผมจะมีประโยชน์กับใครได้นอกจากประเทศชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น